การทำให้เป็น “ผีปอบ” และการกีดกันทางสังคม
ในมุมมองของการบริหารความขัดแย้ง
ในมุมมองของการบริหารความขัดแย้ง
(Ogre-zation and Social
Discrimination in Conflict Management Perspectives)
กมเลศ โพธิกนิษฐ[1]
ความสำคัญของสภาพปัญหา
เมื่อกล่าวถึงคำว่า
“ผีปอบ” ผู้คนในสังคมไทยคงรู้จัก
และสามารถมโนภาพได้เป็นอย่างดี จากการส่งผ่านความเชื่อโดยคำบอกเล่าที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ
และการแปลความหมายของรูปแบบของความเชื่อนั้นๆ ด้วยการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ
อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะรายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ทำให้คนทั่วไปเห็นภาพ
และตีความคำว่า “ผีปอบ” เป็นสิ่งที่น่าเกลียด
น่ารังเกียจ และน่ากลัว
เพิ่มเติมรายละเอียดด้วยการสร้างให้ผีปอบมีตัวตนที่สิงอยู่ในร่างกายของคนธรรมดา
สามารถออกอิทฤทธิ์วิ่งไล่จับคนมาควักตับ ไต ไส้พุงออกมากินสดๆ เพื่อเรียกความน่ากลัว
น่าสนใจ น่าสยดสยอง นำมาซึ่งกระแสการต่อต้าน และกีดกันทางสังคมให้กับ “ผีปอบ” ให้เป็นที่เข้าใจว่า เป็นสิ่งชั่วร้าย และต้องกำจัด เพื่อรักษาซึ่งความปลอดภัยในระดับบุคคล
ครัวเรือน และดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคม
ในปัจจุบัน
ท่ามกลางกระแสแห่งการปะทะสังสรรค์กันทางความคิดที่แตกต่าง และหลากหลาย ภายใต้ตรรกะของ
“การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย” หรือ “การผลักให้ไปอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง” (Group polarization) ซึ่งส่วนใหญ่แปลความหมายได้ว่า “การคิดต่าง”
= “ขัดแย้ง” แนวคิดการผลิตซ้ำของ “วาทกรรม” (Discourse) “ผีปอบ” จึงถูกปลุกขึ้น ในรูปของการกีดกันทางสังคม (Social
Discrimination) ที่ตีตรา (Labeling) “”ผู้คิดต่าง” ให้เป็น “ผีปอบ” ยุทธการณ์การไล่ล่า “ผีปอบ”
จึงเริ่มขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในสภาพวิถีชีวิตจริง
และการกระทำผ่านสังคมออนไลน์ ทั้งการข่มขู่ จำกัดพื้นที่ยืน ขับไล่ ซึ่งได้ลุกลาม และขยายตัวไปสู่การไล่ล่า
โดยใช้ “ความรุนแรง” ด้วยการทำร้ายร่างกายในหลากหลายกรณี
การกระทำดังกล่าว
ไม่เพียงแต่สร้างความขุ่นข้องหมองใจระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนอื่นๆในสังคม ซึ่งมีทั้งกลุ่มสนับสนุน และโต้แย้ง
แม้กระทั่งกลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ตาม
หากการสนทนาเป็นไปในทิศทางที่อีกฝ่ายฟังแล้วอาจเคลือบแคลงสงสัย
และอาจสร้างกระแสความไม่ไว้วางใจ (Mistrust) ก็ตีความได้ไปในทิศทางลบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น