วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556



การทำให้เป็น ผีปอบ และการกีดกันทางสังคม
ในมุมมองของการบริหารความขัดแย้ง
(Ogre-zation and Social Discrimination in Conflict Management Perspectives)

 กมเลศ โพธิกนิษฐ[1]

ความสำคัญของสภาพปัญหา
เมื่อกล่าวถึงคำว่า ผีปอบ ผู้คนในสังคมไทยคงรู้จัก และสามารถมโนภาพได้เป็นอย่างดี จากการส่งผ่านความเชื่อโดยคำบอกเล่าที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ และการแปลความหมายของรูปแบบของความเชื่อนั้นๆ ด้วยการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะรายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ทำให้คนทั่วไปเห็นภาพ และตีความคำว่า ผีปอบเป็นสิ่งที่น่าเกลียด น่ารังเกียจ และน่ากลัว เพิ่มเติมรายละเอียดด้วยการสร้างให้ผีปอบมีตัวตนที่สิงอยู่ในร่างกายของคนธรรมดา สามารถออกอิทฤทธิ์วิ่งไล่จับคนมาควักตับ ไต ไส้พุงออกมากินสดๆ เพื่อเรียกความน่ากลัว น่าสนใจ น่าสยดสยอง นำมาซึ่งกระแสการต่อต้าน และกีดกันทางสังคมให้กับ  ผีปอบ ให้เป็นที่เข้าใจว่า เป็นสิ่งชั่วร้าย และต้องกำจัด เพื่อรักษาซึ่งความปลอดภัยในระดับบุคคล ครัวเรือน และดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคม
            ในปัจจุบัน ท่ามกลางกระแสแห่งการปะทะสังสรรค์กันทางความคิดที่แตกต่าง และหลากหลาย ภายใต้ตรรกะของ การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหรือ การผลักให้ไปอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง (Group polarization) ซึ่งส่วนใหญ่แปลความหมายได้ว่า การคิดต่าง” = “ขัดแย้ง แนวคิดการผลิตซ้ำของ วาทกรรม (Discourse) ผีปอบ จึงถูกปลุกขึ้น ในรูปของการกีดกันทางสังคม (Social Discrimination) ที่ตีตรา (Labeling) “”ผู้คิดต่าง ให้เป็น ผีปอบ ยุทธการณ์การไล่ล่า ผีปอบ จึงเริ่มขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในสภาพวิถีชีวิตจริง และการกระทำผ่านสังคมออนไลน์ ทั้งการข่มขู่ จำกัดพื้นที่ยืน ขับไล่ ซึ่งได้ลุกลาม และขยายตัวไปสู่การไล่ล่า โดยใช้ ความรุนแรงด้วยการทำร้ายร่างกายในหลากหลายกรณี
            การกระทำดังกล่าว ไม่เพียงแต่สร้างความขุ่นข้องหมองใจระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนอื่นๆในสังคม ซึ่งมีทั้งกลุ่มสนับสนุน และโต้แย้ง แม้กระทั่งกลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ตาม หากการสนทนาเป็นไปในทิศทางที่อีกฝ่ายฟังแล้วอาจเคลือบแคลงสงสัย และอาจสร้างกระแสความไม่ไว้วางใจ (Mistrust) ก็ตีความได้ไปในทิศทางลบ 






[1] M.A. Conflict Analysis and Management, Royal Roads University, CANADA
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น